ปัจจุบันภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในแต่ละวันองค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญกับมัลแวร์แบบใหม่ การโจมตีแบบฟิชชิงที่แนบเนียน ตลอดจนการโจมตีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย เราพร้อมรับมือกับภัยเหล่านี้แล้วหรือไม่? คำถามนี้กำลังท้าทายผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า 76.5% ขององค์กรไม่มั่นใจว่าสามารถตรวจจับการโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างความเสี่ยงอย่างมากในหลายอุตสาหกรรมสำคัญ
การเพิ่มขึ้นของการทำงานระยะไกล การนำระบบคลาวด์มาใช้ และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ได้ขยายขอบเขตพื้นที่โจมตี (attack surface) ให้กว้างขึ้น บางองค์กรอาจยังใช้แนวป้องกันแบบเดิม ๆ แต่เมื่อภัยคุกคามพัฒนาไป การป้องกันก็จำเป็นต้องมี“นวัตกรรม” มาช่วยเช่นกัน ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีหลายคนจึงเล็งเห็นความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์เชิงรุก และเสริมเกราะป้องกันด้วยวิธีใหม่ ๆ ที่สามารถปรับตัวตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้
กล่าวได้ว่าการลงทุนด้านการป้องกันที่สามารถปรับตัวได้ล่วงหน้าไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยุคนี้

วิวัฒนาการของภัยคุกคามไซเบอร์
ภัยคุกคามไซเบอร์ได้พัฒนาจากรูปแบบง่าย ๆ ในอดีตไปสู่การโจมตีที่ซับซ้อนและมีองค์กรสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างเต็มรูปแบบ ในอดีตไวรัสคอมพิวเตอร์หรือการแฮ็กอาจมาจากฝีมือของคนเพียงไม่กี่คน แต่ปัจจุบัน “แฮ็กเกอร์เดี่ยว” ไม่ใช่ภัยหลักอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้อาชญากรไซเบอร์ทำงานเป็นเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ มีโครงสร้างองค์กรและงบวิจัยพัฒนาเป็นของตัวเอง การแฮ็กได้กลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น AI และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML)
ขณะเดียวกัน รูปแบบการโจมตีก็เปลี่ยนไป – ยกตัวอย่าง “Ransomware-as-a-Service (RaaS)” หรือบริการให้เช่าแรนซัมแวร์ที่ช่วยลดความยุ่งยากในการก่ออาชญากรรม ผู้โจมตีที่มีทักษะน้อยก็สามารถซื้อบริการแรนซัมแวร์สำเร็จรูปไปใช้ได้ ทำให้จำนวนการโจมตีเรียกค่าไถ่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา จำนวนการโจมตีแรนซัมแวร์เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าทุกปี
นอกจากนี้ขอบเขตความเสียหายจากแรนซัมแวร์ยังรุนแรงขึ้น – แฮ็กเกอร์ไม่ได้พึ่งแค่การเข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่อีกต่อไป แต่เริ่มใช้วิธีใหม่ ๆ เช่น การทำลายข้อมูลแบบถาวร การสร้างความเสียหายแก่ฮาร์ดแวร์ การขโมยข้อมูลสำคัญ และการขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้องค์กรยอมจ่ายเงิน
(ซึ่งบริษัทประกันไซเบอร์เองก็เริ่มคุมเข้ม ไม่รับประกันความเสียหายกรณีเหล่านี้มากขึ้น)
อีกแนวโน้มหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ทั้งในด้านรุกและรับของสงครามไซเบอร์ ภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI กลายเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกกังวล: Gartner รายงานว่า 4 ใน 5 ของผู้บริหารระดับสูงมองว่าการโจมตีที่เสริมด้วย AI เป็นความเสี่ยงใหม่อันดับต้น ๆ ในไตรมาสล่าสุด
แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีการใช้ AI เพื่อโจมตีในโลกความจริงอย่างแพร่หลาย (เป็นความกังวลที่มาก่อนเหตุการณ์จริง) แต่นักวิจัยด้านความปลอดภัยก็ได้ทดลองสร้างมัลแวร์ที่มี AI คอย “วางแผน” การโจมตีอัตโนมัติแล้ว เช่น โค้ดพิสูจน์แนวคิดที่ชื่อ “EyeSpy” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมาย เลือกหาวิธีโจมตีและดำเนินการเองโดยไม่ต้องรอมนุษย์สั่งการ
นอกจากนี้ยังมีการใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา (polymorphic malware) และการใช้ ChatGPT สร้างอีเมลฟิชชิงที่แนบเนียนขึ้น เป็นต้น แม้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนจะมองว่ายังไม่มี AI ใดที่ทำสิ่งที่ “ทำไม่ได้ด้วยวิธีอื่น”
แต่แน่นอนว่าในอนาคตเมื่อ AI พัฒนาขึ้น ความสามารถเหล่านี้อาจถูกนำมาใช้ในทางมืดมากขึ้นเรื่อย ๆ องค์กรจึงไม่ควรชะล่าใจ
โดยสรุปแล้ว ภัยไซเบอร์ยุคใหม่มีลักษณะสำคัญคือ “ฉลาดขึ้น อัตโนมัติมากขึ้น และขยายวงกว้างขึ้น” ทั้งจากการที่อาชญากรไซเบอร์ใช้โมเดลธุรกิจแบบบริการสำเร็จ (เช่น RaaS) ทำให้เข้าถึงการโจมตีได้ง่าย และการเริ่มประยุกต์ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโจมตี สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้องค์กรต้องพัฒนาแนวทางป้องกันที่ก้าวทัน ไม่เช่นนั้นระบบเดิม ๆ อาจไม่อาจรับมือกับภัยรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน

นวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดในการป้องกันภัย
เมื่อภัยคุกคามพัฒนาขึ้น การป้องกันก็ต้องพัฒนาให้ล้ำหน้ายิ่งกว่า ด้านล่างนี้คือนวัตกรรมและแนวทางล่าสุดที่องค์กรชั้นนำเริ่มนำมาใช้เพื่อยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ของตน
-
AI, Machine Learning และ Big Data สำหรับการตรวจจับภัยคุกคาม: การใช้ปัญญาประดิษฐ์และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงกลายเป็นเครื่องมือหลักในการเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ยุคใหม่ ระบบความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเฝ้าติดตามทราฟฟิกเครือข่ายและพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา และเรียนรู้รูปแบบ“ปกติ” เพื่อระบุความผิดปกติได้ทันทีที่เกิดขึ้น การนำแมชชีนเลิร์นนิงมาช่วยสร้าง baseline พฤติกรรมของผู้ใช้และอุปกรณ์ช่วยให้ระบบตรวจจับพฤติกรรมที่เป็นภัยได้แม่นยำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลที่ผิดวิสัยหรือกิจกรรมต้องสงสัยอื่น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังช่วยให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์เป็นไปโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่ระบบตรวจพบการโจมตี AI สามารถช่วยกักกันความเสียหายเบื้องต้นได้ทันที เช่น ตัดการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต้องสงสัยหรือบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตราย ก่อนที่ทีมงานจะเข้ามาจัดการต่อ ลดเวลาระหว่างการตรวจพบและการแก้ไขให้สั้นลงอย่างมาก นอกจากนี้ แนวคิดการวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม (Behavior Analytics) ยังถูกนำมาใช้ร่วมกับ Big Data เพื่อค้นหารูปแบบการใช้งานที่ผิดปกติในมหาสมุทรข้อมูลล็อกจำนวนมหาศาลขององค์กร เครื่องมือวิเคราะห์เหล่านี้ใช้ข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่ง (เช่น บันทึกการขอเข้าถึงระบบ สุขภาพของอุปกรณ์ ฯลฯ) มาประมวลผลเพื่อหา “เข็มในกองฟาง” — สัญญาณของภัยที่เล็กน้อยแต่บ่งชี้เหตุผิดปกติ — แล้วแจ้งเตือนหรือดำเนินการป้องกันล่วงหน้า ผลลัพธ์คือระบบตรวจจับที่ทั้งแม่นยำและรวดเร็วขึ้น สามารถปรับตัวตามรูปแบบการโจมตีใหม่ ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าทีมความมั่นคงไซเบอร์ควรเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้าน AI ของตนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ตามทันรูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในภาพรวม การใช้ AI และการเรียนรู้ของเครื่องใน SOC (ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัย) ช่วยแบ่งเบาภาระของนักวิเคราะห์มนุษย์ เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่มุ่งจัดการกับเหตุการณ์ที่ซับซ้อนจริง ๆ ในขณะที่งานเฝ้าระวังทั่วไปปล่อยให้ระบบอัตโนมัติจัดการไป
-
แนวคิด Zero Trust Architecture: หนึ่งในนวัตกรรมเชิงสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ “Zero Trust” หรือสถาปัตยกรรมแบบไร้ความไว้วางใจโดยปริยาย แทนที่จะเชื่อถืออุปกรณ์หรือผู้ใช้งานแค่เพราะอยู่ในเครือข่ายภายใน (แนวคิดการป้องกันแบบรอบขอบเขตเดิม) Zero Trust ปรับมุมมองใหม่ว่า ไม่มีสิ่งใดควรถูกไว้วางใจจนกว่าจะพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทุกครั้งที่มีการเข้าถึงทรัพยากรขององค์กร ไม่ว่าจะมาจากเครือข่ายภายในหรือภายนอก แนวคิดนี้ตอบโจทย์ยุคที่พนักงานทำงานจากที่ใดก็ได้ แอปพลิเคชันย้ายขึ้นคลาวด์ และอุปกรณ์ IoT กระจายอยู่ทั่ว ซึ่งส่งผลให้ขอบเขตเครือข่ายพร่าเลือนไปมาก การป้องกันแบบเดิมที่วางไฟร์วอลล์รอบองค์กรจึงไม่เพียงพออีกต่อไป Zero Trust จะโฟกัสที่ตัวผู้ใช้ อุปกรณ์ และข้อมูลโดยตรง เช่น กำหนดนโยบายให้ผู้ใช้เห็นหรือเข้าถึงเฉพาะข้อมูลที่ตนมีสิทธิตามบริบทหน้าที่เท่านั้น แม้ว่าผู้ใช้นั้นจะล็อกอินเข้าระบบมาได้ก็ตาม (principal of least privilege) สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากกรณีที่ผู้โจมตีฝ่าเข้ามาในระบบเครือข่ายได้ เพราะเขาจะไม่ได้สิทธิ์เข้าถึงทุกอย่างโดยอัตโนมัติอีกต่อไป ต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติตามนโยบายที่ตั้งไว้ทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น แม้พนักงานจะผ่านการยืนยันตัวตนเข้าเครือข่ายบริษัทได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดไฟล์ข้อมูลลับได้ถ้าไม่ได้รับสิทธิ์ที่เหมาะสม ระบบจะ “ไม่ไว้ใจ” ใครทั้งนั้นจนกว่าจะตรวจสอบทุกชั้นเรียบร้อย
องค์กรที่นำ Zero Trust มาใช้มักเริ่มจากการแบ่งโซนเครือข่าย (micro-segmentation) แยกส่วนที่สำคัญออก และสร้างกลไกตรวจสอบต่อเนื่อง (Continuous Verification) เพื่อเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวในระบบอย่างละเอียด ปัจจุบันการปรับไปสู่ Zero Trust กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ผลสำรวจล่าสุดของ Cisco ระบุว่า 86% ขององค์กรได้เริ่มเดินหน้าสู่แนวทาง Zero Trust แล้ว เพียงแต่ในจำนวนนี้มีเพียง 2% เท่านั้นที่ดำเนินการครบทุกมิติและถือว่าอยู่ในขั้น “โตเต็มที่”
สะท้อนว่าหลายองค์กรเห็นความสำคัญของ Zero Trust แต่การนำมาปฏิบัติให้ครอบคลุมยังเป็นเรื่องท้าทาย อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำได้สำเร็จเริ่มได้รับประโยชน์ชัดเจน – Cisco พบว่าองค์กรที่ดำเนินการตามกรอบ Zero Trust ครบทุกด้านมีโอกาสเผชิญอุบัติการณ์ความมั่นคงลดลงเหลือเพียง 33% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ยังไม่ได้เริ่ม (ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 66%)
เรียกได้ว่าลดความเสี่ยงลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้การทำ Zero Trust ด้านการบริหารจัดการตัวตน (Identity pillar)ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงที่จะโดนโจมตีแบบแรนซัมแวร์ลงได้ราว 11% เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้ดำเนินการด้านนี้เลย จะเห็นได้ว่า Zero Trust ไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงทฤษฎี แต่ให้ผลลัพธ์เป็นรูปธรรมในการยกระดับความปลอดภัยขององค์กร
ส่วนประกอบหลักของสถาปัตยกรรม Zero Trust: สถาปัตยกรรมนี้แบ่งการทำงานออกเป็น Control Plane และ Data Plane โดยมีชุดนโยบายและกลไก (Policy Engine, Administrator, Enforcement Point) คอยตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง
ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่ไว้วางใจใครโดยปริยาย” เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าการเข้าถึงทุกครั้งได้รับการตรวจสอบ
-
การยืนยันตัวตนหลายชั้น (Multi-Factor Authentication) และ Passwordless: เพราะ “คน” มักเป็นจุดอ่อนสำคัญในระบบความมั่นคง การยืนยันตัวตนที่รัดกุมจึงเป็นเกราะด่านแรกที่จำเป็นเสมอ แม้ในช่วงหลังจะมีข่าวว่าการโจมตีหลายรูปแบบสามารถเจาะผ่าน 2FA/MFA (การยืนยันสองปัจจัย/หลายปัจจัย) แบบเก่าได้ แต่ MFA ยังคงถูกยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิผลสูงสุดในการสกัดกั้นการโจมตี ข้อมูลจาก Cisco ระบุว่า MFA เป็นกลไกที่ “แข็งแกร่งที่สุด” ในการหยุดยั้งการโจมตีและลดโอกาสเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ในระบบได้อย่างชัดเจนที่สุด
อย่างไรก็ตาม องค์กรควรปรับมาใช้ MFA รุ่นใหม่ ๆ ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่น รูปแบบที่ป้องกันการโจมตีแบบการขออนุมัติหลอก (MFA Fatigue) หรือการใช้กุญแจฮาร์ดแวร์/ไบโอเมตริกซ์ร่วมด้วย เนื่องจากแฮ็กเกอร์ยุคใหม่มีเทคนิคแพรวพราวขึ้น (เช่น การดักรหัส OTP หรือการสร้างหน้าเว็บปลอมหลอกให้เหยื่อกรอกโค้ดยืนยัน) ผู้เชี่ยวชาญ Gartner ชี้ว่าแม้ MFA ถูกเจาะในบางกรณี แต่มันก็ยังเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการป้องกันการเข้ายึดบัญชี และจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อใช้วิธีสมัยใหม่ที่ปลอดภัยขึ้น
-
นอกจากนี้ แนวคิด “Passwordless Authentication” หรือการยืนยันตัวตนโดยไม่ใช้รหัสผ่านกำลังได้รับแรงสนับสนุนอย่างมาก Gartner จัดให้การเลิกใช้รหัสผ่านเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มี**“ผลกระทบสูงสุด”**และควรเริ่มนำมาใช้ได้ทันที เพราะการตัดรหัสผ่านทิ้งช่วยลดทั้งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ไปพร้อมกัน สาเหตุหลักคือรหัสผ่านนั้นทั้งเดาง่าย (หากผู้ใช้ตั้งง่ายเกินไป) และโจมตีทางวิศวกรรมสังคมได้ง่าย (หลอกให้ผู้ใช้บอกรหัสผ่าน) การยกเลิกการใช้รหัสผ่านแล้วแทนที่ด้วยวิธีอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น การยืนยันด้วยไบโอเมตริกซ์ (ลายนิ้วมือ ใบหน้า) หรือกุญแจความปลอดภัย FIDO2 ช่วยแก้ปัญหาช่องโหว่เหล่านี้โดยตรง องค์กรหลายแห่งเริ่มทดลองใช้ระบบ login แบบไม่ใช้รหัสผ่าน เช่น ให้พนักงานยืนยันตัวตนผ่านโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้หรือสแกนลายนิ้วมือแทนที่จะพิมพ์รหัสผ่าน ผลคือทั้งปลอดภัยขึ้นและผู้ใช้ก็พึงพอใจกับความสะดวกที่เพิ่มขึ้น เห็นได้ชัดว่าการลงทุนในระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่งและไร้รหัสผ่านเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ยุคใหม่
ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว องค์กรที่หยุดนิ่งหรือพึ่งพาแต่เครื่องมือเก่า ๆ มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน การคิดล่วงหน้าและลงมือปรับตัวเชิงรุกจึงเป็นกุญแจสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้องค์กรประเมินขีดความสามารถด้านความปลอดภัยของตนอย่างสม่ำเสมอ และวางแผนยกระดับด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เหมาะสม เช่น ระบบตรวจจับภัยด้วย AI, สถาปัตยกรรม Zero Trust, การยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เป็นต้น
แน่นอนว่าการลงทุนเหล่านี้มีต้นทุน แต่ค่าใช้จ่ายนั้นมักน้อยกว่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากระบบโดนโจมตีสำเร็จ
สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า “ความปลอดภัยไซเบอร์คือกระบวนการที่ไม่มีวันเสร็จ” เพราะภัยคุกคามจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดเวลา องค์กรจำเป็นต้องสร้างความยืดหยุ่น (resilience) และความสามารถในการปรับตัว (adaptability) ให้กับระบบของตน แผนรับมือควรรองรับแม้แต่เหตุไม่คาดฝัน – Gartner แนะนำให้กันงบประมาณส่วนหนึ่งไว้สำหรับรับมือกับภัยใหม่ ๆ ที่อาจโผล่มาแบบคาดไม่ถึง เสริมจากแผนหลักที่มี
การ “เฝ้าระวังเชิงรุก” (Proactive vigilance) เป็นแนวทางที่องค์กรชั้นนำเริ่มนำมาใช้ โดยพวกเขาจะคอยติดตามเทรนด์ภัยคุกคามใหม่ ๆ พร้อมทั้งทดลองเทคโนโลยีป้องกันเกิดใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าแนวป้องกันของตนทันสมัยและครอบคลุมช่องโหว่ทุกจุด
นอกจากนี้การฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องภัยไซเบอร์ (เช่น การระวังอีเมลฟิชชิง การตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์) ก็ยังคงเป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีจะได้ผลเต็มที่ก็ต่อเมื่อพนักงานใช้อย่างถูกต้องและตระหนักถึงบทบาทของตนในการรักษาความปลอดภัยโดยรวม
สุดท้ายนี้ ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านเทคโนโลยีในองค์กรควรมองเรื่องความมั่นคงไซเบอร์เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่พยายามลดให้น้อยที่สุด การลงทุนนวัตกรรมเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ เช่น ระบบ AI ที่ปรับตัวได้หรือสถาปัตยกรรม Zero Trust ที่ยืดหยุ่น อาจไม่ให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินทันทีแต่จะปรากฏออกมาในรูปของ “การไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น” นั่นเอง การไม่มีข่าวการรั่วไหลข้อมูลใหญ่โต ไม่มีระบบล่มจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่ – สิ่งเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้ในแง่ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้า ในยุคที่ภัยไซเบอร์ไม่เคยหลับใหล องค์กรที่พร้อมปรับตัวและนำหน้านวัตกรรมจะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมั่นคงที่สุด
บริษัท ซอฟท์เดบู จำกัด (Soft De’but Co., Ltd.)
Tel : +662-861-4600