Recent Stories

การย้ายองค์กรสู่คลาวด์ ความท้าทายและโอกาส

ทุกวันนี้ “คลาวด์” ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่แทบทุกองค์กรต้องพิจารณาใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตน เกือบทุกองค์กรในปัจจุบันมีการใช้งานระบบคลาวด์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และคาดว่า 96% ของบริษัททั่วโลกจะใช้บริการคลาวด์สาธารณะภายในปี 2025 แสดงให้เห็นว่าการย้ายขึ้นคลาวด์ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น ความจำเป็นเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ ความคล่องตัวในการพัฒนาและขยายระบบ ต้นทุนที่ยืดหยุ่นตามการใช้งาน และ ความรวดเร็วในการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ เป็นเพียงบางส่วนของประโยชน์ที่คลาวด์นำมาให้องค์กร ผู้เชี่ยวชาญจาก Gartner กล่าวว่า การย้ายระบบขึ้นคลาวด์ช่วยลดภาระการดูแลโครงสร้างพื้นฐานไอทีเดิม เปิดโอกาสให้ทีมไอทีมุ่งเน้นนวัตกรรมและโครงการที่สร้างคุณค่า ซึ่งเพิ่มทั้งผลตอบแทนการลงทุน กำไร และความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กร

การประเมินความพร้อมขององค์กร

ก่อนจะเริ่มต้นโครงการย้ายระบบขึ้นคลาวด์ องค์กรควรประเมินความพร้อมของตนเองอย่างรอบด้านเสียก่อน การวิเคราะห์ระบบ IT ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และ ความต้องการทางธุรกิจ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ผู้บริหารเทคโนโลยีควรถามตนเองว่า ระบบใดบ้างที่ควรย้ายไปคลาวด์? และ ระบบใดควรคงไว้ภายในองค์กร? เนื่องจาก ระบบบางอย่าง (โดยเฉพาะระบบเก่าหรือ Legacy Systems) อาจไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานบนคลาวด์ ทำให้การย้ายขึ้นคลาวด์ตรงๆ (lift-and-shift) อาจเกิดปัญหาได้ เช่น ประสิทธิภาพตกลง หรือมีค่าใช้จ่ายสูงเกินควร หากระบบใดยังไม่พร้อมสำหรับคลาวด์
องค์กรอาจต้องพิจารณา ปรับปรุงสถาปัตยกรรมหรือเขียนโปรแกรมใหม่ (Refactor/Re-architect) สำหรับคลาวด์โดยเฉพาะ หรือหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้ซอฟต์แวร์รูปแบบบริการ (SaaS) ที่มีอยู่แทน
หนึ่งในเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินความพร้อมคือ Cloud Readiness Assessment ตามกรอบการประเมินของผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น AWS Amazon Web Services ได้นำเสนอกรอบการประเมินความพร้อม (Migration Readiness Assessment - MRA) ที่ครอบคลุม 6 มิติ ได้แก่ ด้านธุรกิจ คน การกำกับดูแล แพลตฟอร์ม ความปลอดภัย และการดำเนินงาน ซึ่งช่วยให้องค์กรมองเห็นภาพรวมการเตรียมความพร้อมได้ครบทุกด้าน​
การประเมินนี้จะช่วยระบุ ช่องว่างหรือจุดอ่อน ที่องค์กรต้องปรับปรุงก่อนย้ายขึ้นคลาวด์ ตลอดจนชี้ให้เห็น จุดแข็ง ที่มีอยู่ซึ่งสามารถต่อยอดได้ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการตรวจสอบความพร้อมนี้ ได้แก่

● ระดับความพร้อมปัจจุบันขององค์กร ว่าอยู่จุดใดบนเส้นทางคลาวด์ (Cloud Journey)
● ประเด็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อเสริมความพร้อม เช่น ด้านทักษะบุคลากร กระบวนการ หรือเครื่องมือ
● แผนการดำเนินงาน เพื่อปิดช่องว่างที่ค้นพบ ให้การย้ายคลาวด์สามารถทำได้ในวงกว้างโดยไม่ต้องหยุดชะงักกลางคัน

การประเมินความพร้อมยังควรรวมถึง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และ ค่าใช้จ่าย ของการย้ายระบบ (TCO - Total Cost of Ownership) อย่างละเอียด เพื่อให้องค์กรเข้าใจว่าจะต้องลงทุนอะไรบ้างและจะได้ผลตอบแทนอย่างไร

การคำนวณ TCO ควรพิจารณาทั้ง ค่าใช้จ่ายฝั่ง on-premise (เซิร์ฟเวอร์ ฮาร์ดแวร์ การบำรุงรักษา ไฟฟ้า พื้นที่ศูนย์ข้อมูล ฯลฯ) เปรียบเทียบกับ ค่าใช้จ่ายบนคลาวด์ (ค่าบริการคลาวด์, ค่าเน็ตเวิร์ก, ค่า data transfer, ค่าดูแลระบบบนคลาวด์) ในระยะยาว โดยรวมถึงค่าใช้จ่ายในการโยกย้าย (migration) ด้วย ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากองค์กร ย้ายระบบขึ้นคลาวด์โดยไม่มีการปรับแต่งใดๆ (lift-and-shift) ผลที่เกิดขึ้นอาจตรงกันข้ามกับความคาดหวัง – มีหลายกรณีที่ต้นทุนกลับ สูงขึ้น เนื่องจากระบบเดิมไม่มีประสิทธิภาพบนคลาวด์และองค์กรไม่มีกลไกควบคุมค่าใช้จ่าย เช่น กรณีที่ประเมินค่าธรรมเนียมการถ่ายโอนข้อมูลต่ำเกินไปหรือจัดสรรทรัพยากรมากเกินความจำเป็น​
บางองค์กรพบว่าค่าใช้จ่ายคลาวด์เพิ่มขึ้น 20–30% ต่อปี เนื่องจากความไม่มีประสิทธิภาพเหล่านี้​

ดังนั้น ในขั้นประเมินความพร้อม ควรมีการวางแผนด้าน Cloud Financial Management (FinOps) เพื่อกำกับดูแลค่าใช้จ่ายบนคลาวด์อย่างใกล้ชิด และออกแบบสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่เหมาะสมกับภาระงาน

นอกจากต้นทุน สิ่งที่ต้องประเมินคือ ข้อจำกัดหรือข้อกำหนดพิเศษ ของระบบที่จะย้าย เช่น ข้อกำหนดด้าน ความมั่นคงปลอดภัย (Security) และ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) หากข้อมูลหรือระบบใดมีความละเอียดอ่อนหรือถูกควบคุมโดยกฎหมายเฉพาะ (เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลการเงิน) ต้องพิจารณาว่าผู้ให้บริการคลาวด์สามารถตอบโจทย์ข้อกำหนดเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร อาจจำเป็นต้องวางแผนใช้ Private Cloud หรือ ระบบคลาวด์แบบผสม (Hybrid Cloud) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและกฎหมายขององค์กรในบางกรณี (ประเด็นนี้จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป)

บทสรุปของการประเมินความพร้อม : องค์กรควรเห็นภาพชัดเจนว่าตนเองมีความพร้อมแค่ไหน มีระบบใดที่ควรย้ายหรือไม่ควรย้าย
ความเสี่ยงและต้นทุนประมาณการเป็นเท่าใด และต้องเตรียมการหรือลงทุนเพิ่มเติมด้านใดบ้าง (เช่น ฝึกอบรมบุคลากร ปรับปรุงระบบความปลอดภัย) ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนการย้ายคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิด “ค่าใช้จ่ายบานปลาย”
หรือ “ย้ายไปแล้วระบบมีปัญหา” ในภายหลัง


Migrating-to-the-Cloud-Challenges-and-Opportunities_00.png

การวางแผนและดำเนินการ

เมื่อองค์กรประเมินความพร้อมและตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าสู่คลาวด์ ขั้นตอนต่อไปคือ การวางแผนกลยุทธ์และดำเนินโครงการย้ายคลาวด์อย่างเป็นระบบ การย้ายระบบขึ้นคลาวด์เปรียบเสมือนการย้ายบ้านทั้งหลัง การมี “แผนที่นำทาง” ที่ชัดเจนจะช่วยลดความสับสนและความเสี่ยงระหว่างทาง ในที่นี้เราจะแบ่งขั้นตอนการวางแผนและดำเนินการออกเป็นหัวข้อย่อย ดังนี้

1. จัดทำ Cloud Migration Plan พร้อมกำหนดการที่ชัดเจน – องค์กรควรเขียนแผนโครงการ (Migration Plan) ที่ครอบคลุม ระบบทั้งหมดที่จะย้าย ลำดับความสำคัญของแต่ละระบบ และ ระยะเวลา ที่คาดว่าจะดำเนินการแต่ละเฟส แผนนี้ควรรวมถึงการจัดสรรทรัพยากร (ทีมงาน, งบประมาณ) และ Milestones สำคัญ เช่น วันเริ่มย้าย, วันทดสอบระบบ, วันเปิดใช้งานจริง ตลอดจน แผนสำรอง หากเกิดปัญหาขัดข้อง แผนควรแบ่งเป็นเฟสหรือช่วงๆ แทนที่จะย้ายทุกอย่างพร้อมกัน โดยอาจเริ่มจากระบบที่มีความเสี่ยงต่ำหรือไม่วิกฤตต่อธุรกิจก่อน (เช่น ระบบทดลองหรือระบบสำรอง) แล้วจึงค่อยๆ ย้ายระบบสำคัญในการดำเนินงาน (Production) ตามหลังเมื่อมั่นใจมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและมีโอกาสปรับปรุงวิธีการย้ายจากบทเรียนที่ได้ในเฟสแรกๆ ตัวอย่างแนวทางของ Google Cloud ได้แบ่งการย้ายศูนย์ข้อมูลออกเป็น 4 ระยะ คือ Discovery, Planning, Execution, Optimization โดยให้ความสำคัญกับการค้นหาทุกสินทรัพย์ในระบบก่อน วางแผนแบบหลายเฟส ย้ายระบบทีละกลุ่ม และปรับแต่งเพิ่มประสิทธิภาพในขั้นสุดท้าย เพื่อให้ย้ายระบบได้อย่างราบรื่นและมีความเสี่ยงต่ำที่สุด​

ในการวางแผน ควรกำหนด กลยุทธ์การย้ายสำหรับแต่ละระบบงาน (Migration Strategy) อย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นว่าทุกระบบจะใช้วิธีการย้ายแบบเดียวกัน สำหรับบางระบบ การย้ายทั้งระบบขึ้นคลาวด์โดยตรง (Rehost หรือ Lift-and-Shift) อาจเพียงพอ ในขณะที่บางระบบอาจเหมาะกับ การปรับสถาปัตยกรรมใหม่ (Refactor) หรือ เปลี่ยนไปใช้บริการ SaaS สำเร็จรูป (Replace) แนวคิด “7R’s of Cloud Migration” เป็นกรอบที่นิยมใช้ในการพิจารณาทางเลือกสำหรับแต่ละระบบ ได้แก่ Retire (เลิกใช้ไปเลย), Retain (ยังอยู่ on-premise), Rehost, Replatform, Refactor, Repurchase (replace with SaaS), และ Relocate การตัดสินใจนี้ควรทำโดยพิจารณาจาก ความสำคัญของระบบต่อธุรกิจ ความซับซ้อนทางเทคนิค และ ความคุ้มค่าด้านต้นทุน ซึ่งหากประเมินผิด ระบบที่ย้ายขึ้นคลาวด์ไปแล้วอาจเจอปัญหา เช่น ค่าใช้จ่ายสูงเกินคาด ประสิทธิภาพตก หรือมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ได้​
 
2. การเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Provider) – ปัจจุบันมีผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่หลายราย เช่น Alibaba Cloud, Cloudflare, Huawei Cloud รวมถึงผู้ให้บริการเฉพาะด้านหรือระดับภูมิภาคอื่นๆ การเลือกผู้ให้บริการควรพิจารณาจาก ความเหมาะสมกับความต้องการขององค์กร ในหลายมิติ อาทิ

  • คุณสมบัติและบริการ : แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดแข็งต่างกัน Alibaba Cloud เด่นเรื่องประสิทธิภาพและโซลูชันสำหรับองค์กรในเอเชีย Cloudflare มีโครงสร้าง CDN และบริการด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม Huawei Cloud มีความสามารถด้าน AI และ Big Data ที่เหมาะกับการขยายธุรกิจในระดับอุตสาหกรรม องค์กรควรประเมินว่าบริการของผู้ให้บริการรายใดตอบโจทย์ เวิร์กโหลด (Workloads) ของตนมากที่สุด
  • ต้นทุนและรูปแบบราคา : เปรียบเทียบโครงสร้างราคาของแต่ละผู้ให้บริการ ทั้งค่าเครื่อง (Compute), ค่าเก็บข้อมูล (Storage), ค่าเครือข่าย (Data Egress) ฯลฯ รวมถึงดูเครื่องมือหรือบริการช่วยลดต้นทุน เช่น ส่วนลดตามการใช้งาน, Reserved Instance หรือ Pay-as-you-go
  • ระดับการรองรับและบริการหลังการขาย : ผู้ให้บริการมีบริการซัพพอร์ตทางเทคนิค หรือคู่ค้าในท้องถิ่นที่ช่วยเหลือองค์กรได้มากน้อยเพียงใด SLA การให้บริการเป็นอย่างไร มีศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคที่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามกฎหมายข้อมูลหรือไม่
  • ความเข้ากันได้กับระบบเดิม : ตรวจสอบว่าระบบปัจจุบันขององค์กร (เช่น ระบบฐานข้อมูลหรือระบบ ERP เฉพาะทาง) สามารถย้ายไปทำงานบนแพลตฟอร์มนั้นๆ ได้อย่างราบรื่นหรือมีเครื่องมือช่วยย้ายหรือไม่
องค์กรขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อยเลือกใช้ กลยุทธ์ Multi-Cloud คือใช้ผู้ให้บริการหลายรายผสมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละแพลตฟอร์มและกระจายความเสี่ยง (เช่น ไม่ต้องพึ่งพารายใดรายหนึ่งมากเกินไป) ปัจจุบันมีการสำรวจพบว่า 92% ขององค์กรใช้กลยุทธ์มัลติคลาวด์หรือไฮบริดคลาวด์ ในการดำเนินงานด้านไอที อย่างไรก็ตาม การใช้หลายคลาวด์ก็เพิ่มความซับซ้อนในการบริหารจัดการด้วย ดังนั้นควรใช้เมื่อมีเหตุผลทางธุรกิจรองรับชัดเจน เช่น ต้องการความทนทาน (fault tolerance) สูงสุด หรือต้องการใช้บริการเฉพาะที่มีในบางคลาวด์เท่านั้น
ในการวางกลยุทธ์คลาวด์ องค์กรควรมองภาพรวมของ พอร์ตโฟลิโอระบบงาน ของตนและตัดสินใจว่าระบบใดควรอยู่ในรูปแบบใด ไม่จำเป็นต้องเลือกรูปแบบเดียวทั้งหมด บางระบบอาจอยู่ public ทั้งหมด บางระบบ hybrid ฯลฯ ทั้งนี้ควรคำนึงถึง เป้าหมายทางธุรกิจและข้อกำหนดด้านเทคนิค เป็นหลัก เช่น หากเป้าหมายคือความคล่องตัวสูงสุดและลดต้นทุน – public cloud ก็ตอบโจทย์ แต่หากเป้าหมายคือความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด – private cloud หรือ hybrid น่าจะเหมาะสมกว่า

3. ดำเนินการย้าย (Migration Execution) – เมื่อได้แผนและกลยุทธ์ทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการนำไปปฏิบัติจริง การดำเนินโครงการย้ายคลาวด์ ควรเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างมีวินัยและมีการติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ ในขั้นตอนนี้ สิ่งสำคัญที่ควรทำ ได้แก่

  • จัดลำดับการย้ายระบบ: ตามแผนที่วางไว้ อาจย้ายเป็นชุดๆ (migration waves) เช่น กลุ่มระบบที่ไม่วิกฤตก่อน แล้วตามด้วยกลุ่มระบบสำคัญ โดยแต่ละ wave ควรมีการทดสอบและประเมินผลก่อนเดินหน้าต่อ
     
  • ทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง: หลังย้ายระบบใดขึ้นคลาวด์ ต้องทำ การทดสอบการทำงาน (Functional test) และ ทดสอบประสิทธิภาพ (Load test) เพื่อให้แน่ใจว่าระบบบนคลาวด์ทำงานถูกต้องและรองรับโหลดได้เทียบเท่าหรือดีกว่าระบบเดิม หากพบปัญหาจะได้ปรับแก้หรือเพิ่มทรัพยากรได้ทัน
     
  • เฝ้าระวังผลกระทบ: ระหว่างการย้าย ระบบบางส่วนอาจต้องหยุดชั่วคราวหรือทำงานช้าลง ผู้บริหารโครงการต้องสื่อสารกับผู้ใช้ระบบหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงช่วงเวลาที่ระบบอาจได้รับผลกระทบ และจัดทีมเฝ้าระวังปัญหา (war room) ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
     
  • บริหารผู้รวมระบบหรือตัวแทน (SI/Partner) ถ้ามี: หลายองค์กรอาจจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาช่วยย้ายระบบ ในกรณีนี้ควรตกลงรูปแบบสัญญาและ KPI ให้สนับสนุนเป้าหมายของเรา ไม่ใช่ว่าจ่ายตามเวลาทำงานอย่างเดียวโดยไม่มีแรงจูงใจให้งานเสร็จเร็ว เพราะมีกรณีตัวอย่างที่องค์กรเภสัชกรรมระดับโลกแห่งหนึ่งโอนงานย้ายระบบทั้งหมดให้ System Integrator (SI) ดูแล แต่เนื่องจากค่าตอบแทนเป็นแบบเหมารายชั่วโมง ผู้รับเหมาไม่มีแรงจูงใจในการเร่งรัดงาน ทำให้โครงการล่าช้าและค่าใช้จ่ายบานปลายเกินคาด
    องค์กรจึงควรกำกับดูแลงานของพาร์ตเนอร์อย่างใกล้ชิด กำหนดตัวชี้วัดที่เน้นผลลัพธ์ (outcome-based) และรักษาความรู้ความเชี่ยวชาญไว้ภายในองค์กรด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าการย้ายจะเสร็จตรงเวลาและไม่เกินงบ
     
4. ตรวจสอบและปรับปรุง (Post-Migration Optimization) – หลังจากย้ายระบบขึ้นคลาวด์แล้ว งานยังไม่เสร็จสิ้น องค์กรควรติดตามผลลัพธ์และ ปรับปรุงประสิทธิภาพ อย่างต่อเนื่อง เช่น ปรับขนาดทรัพยากร (Right-sizing) ให้เหมาะกับการใช้งานจริง (ลดขนาดลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายหรือเพิ่มขึ้นถ้าพบว่าประสิทธิภาพไม่พอ) ใช้เครื่องมือ Auto-scaling ให้ระบบปรับตัวตามโหลดงานโดยอัตโนมัติ รวมถึงนำรูปแบบการออกแบบสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่ดี (Cloud best practices) เช่น การใช้บริการแบบ Serverless หรือ Container มาพิจารณาปรับใช้กับระบบในอนาคต นอกจากนี้ควรวิเคราะห์ด้วยว่าโครงการบรรลุตามเป้าหมายหรือไม่ เช่น ต้นทุนรวมลดลงจริงหรือไม่เมื่อเทียบกับก่อนย้าย หากพบว่ายังมีช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดต้นทุนได้อีก ก็ควรวางแผนแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม


Migrating-to-the-Cloud-Challenges-and-Opportunities_02.png


การจัดการความเปลี่ยนแปลง

การย้ายองค์กรขึ้นคลาวด์ไม่ใช่แค่โครงการด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็น โครงการด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Organizational Change) ที่ส่งผลต่อคน กระบวนการ และวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ การจัดการความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบจะช่วยให้องค์กรเปลี่ยนผ่านสู่คลาวด์ได้อย่างราบรื่น ลดผลกระทบด้านลบต่อการดำเนินงานประจำวัน และทำให้พนักงานยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น หัวข้อสำคัญในส่วนของการจัดการความเปลี่ยนแปลง ได้แก่

1. เตรียมความพร้อมของทีมและบุคลากร – คลาวด์เทคโนโลยีนำมาซึ่งแนวคิดและเครื่องมือใหม่ๆ ที่ทีมไอทีอาจไม่คุ้นเคย เช่น การจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้วยโค้ด (Infrastructure as Code), แนวคิด DevOps, บริการความปลอดภัยบนคลาวด์, ฯลฯ การฝึกอบรมและยกระดับทักษะ (Reskilling/Upskilling) ให้กับทีมงานจึงเป็นเรื่องจำเป็น องค์กรอาจจัดหลักสูตรฝึกอบรมภายใน ร่วมมือกับผู้ให้บริการคลาวด์ในการอบรม หรือสนับสนุนให้พนักงานสอบใบรับรองที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งควรพิจารณา โครงสร้างทีม ใหม่ที่เหมาะสมกับการดำเนินงานบนคลาวด์ เช่น จัดตั้งทีม Cloud Center of Excellence (CCoE) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์จากหลายๆ ฝ่ายมาช่วยกันกำหนดมาตรฐานและแนวทางที่ดีในการใช้คลาวด์ภายในองค์กร ปัจจุบันหนึ่งในความท้าทายใหญ่คือ ขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้านคลาวด์ – รายงานของ McKinsey ระบุว่าทั่วโลกภายใน 3 ปีข้างหน้าจะมีความต้องการ นักพัฒนาระบบคลาวด์เพิ่มอีกนับล้านคน
ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันจ้างงานสูงและหาได้ยากขึ้น​ องค์กรจึงควรวางแผนทั้งการพัฒนาคนภายในและการสรรหาจากภายนอกควบคู่กัน
นอกจากทีมไอทีแล้ว การสร้างความเข้าใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ในองค์กรก็สำคัญ ผู้ใช้งานระบบ (เช่น พนักงานฝ่ายต่างๆ) ควรได้รับการแจ้งและอบรมการใช้ระบบใหม่บนคลาวด์หากมีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟซหรือวิธีการใช้งาน และผู้บริหารฝ่ายธุรกิจควรเข้าใจประโยชน์ที่จะได้รับหลังการย้ายขึ้นคลาวด์ เพื่อลดความต้านทานและสร้างการสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงนี้

2. การปรับกระบวนการทำงานและนโยบาย – เมื่อระบบอยู่บนคลาวด์ วิธีการดำเนินงานหลายอย่างจะเปลี่ยนไป เช่น กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไอที อาจไม่ใช่การซื้อฮาร์ดแวร์ล่วงหน้า แต่กลายเป็นการบริหารงบ OPEX รายเดือนตามใบแจ้งหนี้ผู้ให้บริการคลาวด์ ซึ่งต้องประสานงานกับฝ่ายการเงินรูปแบบใหม่ หรือ กระบวนการปรับปรุงระบบ (Release Management) อาจทำได้ถี่ขึ้นเพราะโครงสร้างพื้นฐานคล่องตัวกว่าเดิม ดังนั้นทีมไอทีควรปรับใช้แนวทาง DevOps/DevSecOps เพื่อให้การพัฒนาและส่งมอบซอฟต์แวร์รวดเร็วและเชื่อมโยงกับการดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ นโยบายด้านความปลอดภัยและสิทธิ์การเข้าถึง ก็อาจต้องปรับให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมคลาวด์ เช่น การนำระบบ Identity and Access Management (IAM) ของผู้ให้บริการคลาวด์มาใช้ควบคุมสิทธิ์ หรือการกำหนดนโยบายการปกป้องข้อมูลบนคลาวด์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์กร

3. การสนับสนุนจากผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร – การเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับนี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ผู้บริหารควรสื่อสาร วิสัยทัศน์ และ เหตุผลในการย้ายขึ้นคลาวด์ ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน และแสดงการสนับสนุนโครงการอย่างเปิดเผย มีกรณีศึกษาจากองค์กรสินค้าบริโภคแห่งหนึ่งที่ CEO มีบทบาทผลักดันให้ทั้งองค์กรก้าวสู่คลาวด์ ด้วยการสื่อสารยุทธศาสตร์จากบนลงล่าง ทำให้พนักงานทุกระดับเห็นความสำคัญและร่วมมือกัน การสนับสนุนจากผู้บริหารสูงสุดเช่นนี้ทำให้ทีมไอทีรู้ว่า “ผู้บริหารพร้อมช่วยเหลือเมื่อมีอุปสรรค” และสร้างความมั่นใจในการดำเนินโครงการ​
 
ข้อมูลจาก McKinsey ยังระบุว่าองค์กรที่ย้ายคลาวด์ได้สำเร็จเกินเป้าหมาย มีความเป็นไปได้มากกว่าถึง 32% ที่จะมีผู้บริหารระดับสูง (เช่น CEO) เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในโครงการ เมื่อเทียบกับองค์กรทั่วไป​
 
วัฒนธรรมองค์กรก็เช่นกัน การปลูกฝัง วัฒนธรรมที่ยืดหยุ่นและพร้อมเรียนรู้ (Agile & Learning Culture) จะช่วยให้บุคลากรปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ได้เร็วขึ้น มองการเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสแทนที่จะเป็นภาระ

4. การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและลด Downtime – ขณะย้ายระบบขึ้นคลาวด์ สิ่งที่หลายองค์กรกังวลคือ ระบบหยุดชะงัก (Downtime) หรือบริการขัดข้องจนกระทบการดำเนินงาน ดังนั้นต้องมีแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจที่รัดกุม เช่น อาจใช้วิธี ย้ายแบบทีละส่วน (Incremental Migration) โดยที่ระบบเดิมยังคงทำงานอยู่ในขณะที่ทดสอบระบบใหม่บนคลาวด์ เมื่อระบบใหม่พร้อมจึงค่อยสลับการทำงาน (Cutover) โดยหยุดระบบช่วงเวลาสั้นที่สุด หรือนำแนวคิด Blue-Green Deployment มาใช้สำหรับบางแอปพลิเคชัน คือเตรียมระบบใหม่ (green) คู่ขนานกับระบบเดิม (blue) แล้วค่อยสลับการใช้งานเมื่อทุกอย่างพร้อม การมี แผนสำรองฉุกเฉิน (Rollback Plan) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ – หากการย้ายมีปัญหาไม่เป็นไปตามคาด องค์กรต้องสามารถย้อนกลับไปใช้ระบบเดิมชั่วคราวเพื่อให้บริการธุรกิจดำเนินต่อไปได้ แล้วแก้ไขปัญหาก่อนจะลอง cutover อีกครั้งในภายหลัง

นอกจากนี้ อย่าลืมเรื่อง การตรวจสอบประสิทธิภาพและประสบการณ์ผู้ใช้ อย่างใกล้ชิดหลังการย้าย ทีมไอทีควรจัดตั้ง Dashboard หรือระบบ Monitoring เพื่อดูแลว่าระบบบนคลาวด์ทำงานปกติและมีประสิทธิภาพ มี Latency หรือ Error ใดๆ หรือไม่ และเตรียมทีมซัพพอร์ตคอยตอบข้อสงสัยหรือแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้ระบบในช่วงแรกๆ ของการเปลี่ยนผ่าน หากจัดการส่วนนี้ได้ดี ผู้ใช้งานจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด และธุรกิจจะดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องแม้เบื้องหลังระบบจะถูกย้ายไปคลาวด์แล้วก็ตาม

Migrating-to-the-Cloud-Challenges-and-Opportunities_01.png

 

การย้ายองค์กรขึ้นสู่ระบบคลาวด์นั้นเต็มไปด้วยความท้าทายก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อดำเนินการอย่างถูกต้องก็คุ้มค่ากับความพยายาม องค์กรที่สามารถปรับตัวสู่คลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้รับ โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วในการนำนวัตกรรมออกสู่ตลาด ที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการขยายระบบรองรับการเติบโต อย่างไร้รอยต่อ และ ต้นทุนการดำเนินงานไอทีที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รายงานของ McKinsey ระบุว่าการนำคลาวด์มาใช้อย่างเต็มที่สามารถปลดล็อค คุณค่าทางธุรกิจมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่องค์กรทั่วโลก​  กล่าวคือ ใครที่ใช้คลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิผลย่อมมีโอกาสแบ่งเค้กก้อนโตนี้ ขณะเดียวกัน องค์กรที่ดำเนินโครงการย้ายคลาวด์อย่างไร้ประสิทธิภาพก็เสี่ยงที่จะ สูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ รายงานฉบับเดียวกันคาดการณ์ว่าจะมี งบประมาณราว 1 แสนล้านดอลลาร์ถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่าในโครงการย้ายคลาวด์ในช่วงสามปีข้างหน้า จากความไม่มีประสิทธิภาพและความล่าช้าต่างๆ​
 
ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่าเราควรให้ความสำคัญกับการวางแผนและดำเนินการที่รอบคอบเพียงใด
เพื่อให้องค์กรอยู่ในฝั่งที่คว้าโอกาสมากกว่าเผชิญความเสี่ยง ผู้ตัดสินใจด้านเทคโนโลยีควรพิจารณาข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้

  • วางแผนอย่างมียุทธศาสตร์และครอบคลุมทุกมิติ : การย้ายขึ้นคลาวด์ไม่ใช่แค่การย้ายเซิร์ฟเวอร์ แต่เป็นการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นต้องมียุทธศาสตร์ที่ผูกกับเป้าหมายทางธุรกิจชัดเจน (ว่าจะใช้คลาวด์เพื่อให้บรรลุอะไร) และแผนครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค คน กระบวนการ และการเงิน อย่าลืมรวม กรณีธุรกิจ (Business Case) ที่ชัดเจนว่าโครงการนี้จะสร้างคุณค่าอะไรให้แก่องค์กร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและทีมงานอย่างเต็มที่​
     
  • เริ่มจากเล็กไปใหญ่ – ทดลอง เรียนรู้ ปรับปรุง : อย่ากลัวที่จะเริ่มโครงการนำร่อง (Pilot) เล็กๆ บนคลาวด์เพื่อสะสมประสบการณ์ เมื่อประสบความสำเร็จแล้วจึงขยายขอบเขต ขณะเดียวกันให้เตรียมยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงแผนตามบทเรียนที่ได้รับ ความผิดพลาดเล็กๆ ในระยะแรกคือบทเรียนที่มีค่าที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใหญ่ในระบบสำคัญ
     
  • เลือกพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจธุรกิจและเชี่ยวชาญเทคโนโลยี : หากองค์กรไม่มีความชำนาญคลาวด์ภายในทั้งหมด การร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกที่มีประสบการณ์ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ควรเลือกพาร์ทเนอร์ที่ไม่ใช่แค่เก่งเทคนิคคลาวด์ แต่ต้องเข้าใจลักษณะธุรกิจขององค์กรด้วย พาร์ทเนอร์ที่ดีจะช่วยแนะนำแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณ ไม่ใช่สูตรสำเร็จทั่วไป และสามารถเสริมทีมของคุณให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่มาแทนที่ทั้งหมด
     
  • ติดตามวัดผลและปรับตัวอยู่เสมอ : หลังย้ายขึ้นคลาวด์แล้ว อย่าหยุดอยู่กับที่ ควรตั้ง ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ของการใช้คลาวด์ เช่น ค่าใช้จ่ายต่อธุรกรรม, เวลาในการนำฟีเจอร์ใหม่ออกสู่ผู้ใช้, ระดับความพึงพอใจของลูกค้าต่อความเร็วระบบ เป็นต้น แล้วติดตามวัดผลเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากพบว่ายังไม่บรรลุ ก็ควรหาสาเหตุและปรับกลยุทธ์การใช้งานคลาวด์หรือปรับแต่งระบบเพิ่มเติม คลาวด์มีเครื่องมือและแนวทางใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา การเปิดรับสิ่งใหม่และพร้อมปรับตัวจะทำให้องค์กรได้รับประโยชน์สูงสุดจากคลาวด์อย่างต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด การย้ายองค์กรสู่คลาวด์เปรียบเหมือนการย้ายขึ้นบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่า ทันสมัยกว่า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เราเติบโตและปรับตัวได้ดีขึ้นในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล แต่การย้ายบ้านก็ต้องมีการเตรียมตัวและขนย้ายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินเสียหายหรือสูญหาย ระหว่างทางอาจพบหลุมบ่อหรือพายุฝนที่คาดไม่ถึง แต่ด้วยการวางแผนที่ดี ความร่วมมือของคนในองค์กร และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ไว้ใจได้ อุปสรรคเหล่านั้นก็สามารถก้าวข้ามไปได้ สุดท้ายแล้ว คลาวด์จะไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่จะกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจ ที่ช่วยให้องค์กรสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วขึ้น ให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น และแข่งขันในตลาดได้อย่างมั่นใจในระยะยาว

23/05/2568
ก้าวสู่โลกแห่ง Big Data อย่างมืออาชีพด้วย MaxCompute บน Alibaba Cloud การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) กลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ การที่องค์กรสามารถวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น MaxCompute ของ Alibaba Cloud เป็นโซลูชันสำหรับการจัดการและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดู 999 ครั้ง
16/05/2568
การป้องกันที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำความรู้จัก SSL/TLS และ Firewall ของ Cloudflare ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องเว็บไซต์ให้พ้นจากการโจมตีในรูปแบบต่างๆ Cloudflare มอบเครื่องมือการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ทรงประสิทธิภาพในการคุ้มครองข้อมูลของคุณ ซึ่งได้แก่ SSL/TLS Encryption และระบบ Firewall
ดู 999 ครั้ง
12/05/2568
องค์กร vs แฮกเกอร์ การเปลี่ยนแปลงวิธีป้องกันในยุคดิจิทัล ปัจจุบันภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในแต่ละวันองค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญกับมัลแวร์แบบใหม่ การโจมตีแบบฟิชชิงที่แนบเนียน ตลอดจนการโจมตีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย เราพร้อมรับมือกับภัยเหล่านี้แล้วหรือไม่? คำถามนี้กำลังท้าทายผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า 76.5% ขององค์กรไม่มั่นใจว่าสามารถตรวจจับการโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างความเสี่ยงอย่างมากในหลายอุตสาหกรรมสำคัญ
ดู 999 ครั้ง